รีวิวภูกระดึงหน้าฝนสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์ กางเต้นท์เอง เดินเที่ยวรอบภูเองไม่ง้อจักรยาน
รีวิวทริปภูกระดึงบล็อกนี้ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวบนภูกระดึงเหมือนได้ตามไปด้วยกันทุกฝีก้าวเลยครับ ตั้งแต่เรื่องการเดินทางจากกรุงเทพ ค่าใช้จ่าย การเข้าอุทยานภูกระดึง การเตรียมตัวเดินขึ้นเขา ระยะทางต่างๆ ที่เที่ยวบนภูกระดึง อาหารการกินบนภูกระดึง และประสบการณ์การท่องเที่ยวบยนภูกระดึงอื่นๆอีกมากมาย เดินทางไปเที่ยวภูกระดึงไปพร้อมผมได้เลยครับ
รีวิวภูกระดึงหน้าฝนสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์ |
วันที่ 1 จากกรุงเทพ (เริ่มเดินทางช่วงเย็นๆ)
ผมออกเดินทางจากกรุงเทพโดยรถยนต์ส่วนตัวกันครับ ขับรถจากกรุงเทพไปจังหวัดเลยโดยใช้เส้นทาง ถ.พหลโยธิน – ถ.มิตรภาพ เข้าเส้นทาง 201 อำเภอสีคิ้ว ผ่าน จ.ชัยภูมิครับ โดยที่เราเดินทางมาถึง อ.เมือง ชัยภูมิกันประมาณ 3 ทุ่ม เลยแวะข้างทางกินก๋วยเตี๋ยวเป็นมือค่ำกันก่อนจะเดินทางต่อ
เดินทางจาก ชัยภูมิ – บ้านผานกเค้า
จากตัวเมืองชัยภูมิ เราก็เดินทางต่อโดยเส้นทาง 201 เหมือนเดิม โดยผ่าน อ.ภูเขียว อ.ชุมแพ ถึง บ้านผานกเค้า อ.ภูกระดึง เวลาประมาณ 5 ทุ่ม 15 โดยเส้นทางนี้กลางคืนค่อนข้างมืดเพราะมีไฟถนนเป็นบางช่วงเท่านั้น และปริมาณรถก็ขับทิ้งห่างกันพอสมควร จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการขัยรถกันพอสมควรครับ
รีวิวทริปแบกเป้เที่ยวภูกระดึง : เดินทางมาถึง อ.เมือง ชัยภูมิกันประมาณ 3 ทุ่ม |
หาที่พัก 1 คืนที่บ้านผานกเค้า
ผมไม่ได้หาที่พักไว้ก่อนเพราะมากันวันธรรมดาคร้าบ ก็เลยหาที่พักกันตามป้ายข้างทางและลองเข้าไปดู ก็เลยได้ห้องพักเป็นรีสอร์ทเล็กๆชื่อ ผานกเค้า เดอเลย รีสอร์ท ที่ราคา 800.- พักได้ 3 คนพอดีครับ โดยรวมก็สะอาด ไม่แพง และมีที่จอดรถสะดวกดี (แต่ราคานี้ไม่มีมื้อเช้าให้คร้าบ)
เช้าวันที่ 2 บ้านผานกเค้า-ทางเข้าภูกระดึง
ผมตื่นกันเช้ามากเพื่อเตรียมตัวไปทำเรื่องใดๆ ที่ทำการอุทยานภูกระดึงกันครับ จากผานกเค้าขับรถต่อไปที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงเพียง 10 นาทีเท่านั้น เราจะเจอด่านแรกระหว่างทางที่ต้องจ่ายค่ารถและค่าเข้า
ที่ทางเข้าอุทยานตรงจุดนี้เราต้องชำระด้วยเครื่องชำระอัตโนมัติ แต่ไม่มีจ่ายด้วย QR ซึ่งต้องใช้เงินสดในการชำระที่ตู้เท่านั้นครับ ใครขับรถมาสามารถขับเลยทางเข้าไปอีก จอดรถริมถนนแล้วเดินกลับมาจ่ายค่าเข้าได้เลย (เตรียมเงินสด และเก็บตั๋วไว้ด้วยน้า เพราะรวมทุกคนใน 1 ใบ)
*ค่ารถ 4 ล้อคันละ 30 บาท และค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงคนไทย คนละ 40 บาท ต่างชาติ 400.-
ทางเข้าอุทยานฯ ชำระด้วยเครื่องอัตโนมัติด้วยเงินสดเท่านั้น |
ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
จากทางเข้าอุทยานฯ ขับต่อมาอีกนิดเดียวเพื่อมาที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึงครับ จุดนี้เราสามารถจอดรถที่ลานจอดรถ (ฟรีก็ได้ หรือจะแบบเสียเงินด้านในก็มี) เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว ก็มาเช็คชื่อเช็คคิวที่จองไว้ผ่านแอปคิวคิว QueQ และตรวจเอกสารวัคซีนโควิดด้วยจ้า
จุดรับคิวลูกหาบ
เมื่อตรวจสอบคิวและเอกสารวัคซีนเสร็จแล้วเราจะได้รับบัตรคิวมาครับ นำบัตรเพื่อมาชำระค่าพื้นที่กางเต้นท์ 30 .- ต่อ 1 คน/1 คืน ผมมากัน 3 คน พัก 2 คน จึงเสียค่าพื้นที่กางเต้นท์อีก 180.-. จ่ายเงินเสร็จแล้วก็เดินเข้าพื้นที่ด้านในได้เลยคร้าบ จุดรับคิวลูกหาบจะอยู่ด้านในถัดเข้าไปในบริเวณทางขึ้นนะครับ
ค่าใช้บริการลูกหาบจะต้องเสียค่าบัตรคิว 5.- และ ก็ต้องชั่งกิโล.ๆ ละ 30.- ซึ่งค่าสัมภาระของผมส่วนใหญ่ก็จะเป็นเต้นท์ เสื้อผ้าและเครื่องนอน ชั่งน้ำหนักแล้วอยู่ที่ 11 กิโลกรัม ค่าลูกหาบ 330.- ตรงนี้เก็บบัตรไว้ และจ่ายค่าลูกหาบที่ด้านบนภูกระดึงตอนรับของคร้าบ
เข้าตรวจบัตรด่านขึ้นภู |
จุดเริ่มเดินขึ้นภูกระดึง
ที่ตรงทางเข้าของจุดเริ่มเดินเราจะต้องตรวจตั๋วและฉีกหางบัตรที่เราได้ทำการชำระค่าเข้าอุทยานมาคร้าบ ตรงจุดนี้มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ระยะทางเดินขึ้น 5,500 เมตร ใช้เวลาเดินโดยประมาณ 3-5 ชั่วโมง และห้ามเดินขึ้นหลังเวลา 13.00 ย้ำ! ห้ามเดินขึ้นภูกระดึงหลังบ่ายโมง เพราะจะมืดและอันตรายมากครับ
เริ่มเดินขึ้นภูเวลา 8.45 น.
ตลอดระยะทางระหว่างการเดินขึ้นภูกระดึงจะมีที่พักเป็นระยะๆ ซึ่งเค้าจะเรียกว่า “ซำ” โดยมีซำต่างๆระหว่างทางให้เรานั่งพักทั้งหมด 8 ซำด้วยกับคร้าบ… จุดเริ่มเดินในช่วงแรกก่อนถึง “ซำแฮก” จะไม่ค่อยหนักหน่วงเท่าไหร่ เพราะทางยังไม่ชันมาก แต่ก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกัน
ระหว่างทางที่ได้นั่งพักก็ได้พูดคุยกับคุณลุงลูกหาบถึงการหาบของขึ้นภูกระดึง ซึ่งเราก็ได้เคล็ดลับการเดินลงถ้าฝนตก.. ก็คือให้เดินตามตาน้ำไหลเพราะจะเหลือแต่ดินแข็งหน้าดินจะไม่ลื่น คนนึงเค้าแบกกันประมาณ 60-80 กิโลเลยทีเดียว!
ช่วงแรกของการเดินขึ้นภูกระดึง |
เดินถึงซำแฮก 9.30 น.
จุดพักของผมจุดแรกก็คือที่ซำแฮกครับ ซำนี้จะมีร้านขายของชำ เครื่องดื่ม ขายอาหารขายของฝากค่อนข้างเยอะ ผมจึงแวะทานข้าวเช้าเติมพลังที่ซำนี้กันเลย (ตามสั่ง + น้ำ 1 ขวด = 100.บ) ซำนี้มีวิวถ่ายรูปแบบพาโนรามามุมกว้างงที่ระดับน้ำทะเล 543 เมตร
ซำแฮก ซำแรกหลังจากเดินมาเกือบ 1 ชั่วโมง |
แวะพักตามซำต่างๆ ตลอดทาง
อย่างที่เราทราบกันว่าทางขึ้นภูกระดึงจะมีซำตามทาง ก็ต้องบอกกันตามตรงว่า ผมนั่งพักทุกซำเพื่อเอาแรงให้เดินได้ต่อไปได้อย่างไม่เหนื่อยมากนักครับ ราคาน้ำและเครื่องดื่ม ตามซำต่างๆ จะแพงขึ้นตามระยะทางนะคร้าบ น้ำอัดลม + น้ำแข็ง ก็ราวๆ 50 บาทเลยคร้าบ
จากซำแคร่ ถึงหลังแปร
ช่วงที่ชันและโหดที่สุดก็ต้องเป็นช่วงสุดท้ายที่มีความชันที่สุดตลอดเส้นทางครับ เราต้องเดินกันอย่างช้าๆ ค่อยๆไต่กันเรื่อยๆ เพราะมันชันในระดับ 45 – 60 องศาในบางช่วง ทักษะการปีนบันไดขั้นน้อยๆ ชันๆ ทดสอบกล้ามขากล้ามน่อง ได้ใช้แน่นอนตรงจุดนี้คร้าบ
จุดพักซำต่างๆตลอดทางเดินขึ้นภู |
บันไดคู่ ด่านสุดท้ายก่อนถึงหลังแปร
สัญญาณที่บ่งบอกว่าเราเดินใกล้ถึงหลังแปรแล้วก็คือ “บันไดคู่สุดชัน” ที่บอกว่าเราเดินมาได้กิโลเมตรที่ 5 แล้วคร้าบ บันไดนี้จะพาดขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่ ตรงจุดนี้ถ้าคนเยอะหน่อยก็จะติดขัดกันพอสมควร เพราะว่า “ลูกหาบ” เค้าจะเดินขึ้นช้าและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในจังหวะที่คนรอกันเยอะๆ ที่ต้องเดินขึ้น-ลง ทางเดียว
ทางขึ้นภูช่วงสุดท้ายก่อนถึงหลังแปร |
ถึงหลังแปร 13.10 น. ที่ความสูง 1,288 เมตร
จากซำแฮกเราก็เดินเรื่อยๆครับ พักบ้างตามซำต่างๆ ดื่มน้ำหวานบ้าง เข้าห้องน้ำบ้างอย่างที่บอกไปครับ.. ก็ถือว่าทางขึ้นภูกระดึงค่อนข้างสะดวกสบายเลยทีเดียว ผมใช้เวลาเดินขึ้นถึงหลังแปรประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถือว่ากลางๆ ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป
ตรงหลังแปรนี้เราจะได้สัมผัสฟิลล์ป่าสนกันแล้ว ! สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนไปหลังจากที่เราเดินขึ้นมาถึงหลังแปรครับ ผมนั่งพักนั่งถ่ายรูปอยู่ตรงนี้ค่อนข้างนาน
สภาพป่าและธรรมชาติที่เปลี่ยนไปบนหลังแปร |
จากหลังแปรถึงจุดกางเต้นท์ 3 กม.
จากหลังแปรเราจะต้องเดินต่อกันอีกประมาณ 3 กิโลเมตรนะครับ แต่จะเป็นทางราบที่สบายๆแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสบายซะทีเดียว เพราะถ้าอากาศร้อน แดดแรง เราก็จะเพลียกันมากเพราะว่า 2 ข้างทางไม่ค่อยมีร่มเงาของต้นไม้ให้บังแดดสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอากาศดีๆ เราก็จะเดินกันได้สบายๆ
ก็ระหว่างทางจากหลังแปรไปยังที่พักกางเต้นท์ของอุทยานบนภูกระดึง เราจะต้องเดินผ่าน “ต้นสนเดียวดาย” ต้นสนที่จัดว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ต้องถ่ายรูปอีกจุดนึงบนอุทยานแห่งชาติภูกระดึงคร้าบ
ถึงศูนย์วังกวางด้วยเวลา 5.45 ชั่วโมง
ไชโย ผมเดินถึงแล้ว “ศูนย์วังกวาง” หรือที่ทำการอุทยานบนภูกระดึง จุดกางเต้นท์จุดเดียวที่เราสามารถก่งเต้นท์ค้างแรมได้ สรุปการเดินทางจากจุดเริ่มต้นถึงลานกางเต้นท์บนภูกระดึง ผมใช้เวลาไปทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง 45 นาที ที่เราเริ่มเดินกันตั้งแต่เวลา 8.45 ถึง 14.30 น.โดยประมาณครับ
ศูนย์วังกวางบนภูกระดึง |
ราคาเช่าเต้นท์และเครื่องนอนบนภูกระดึง
ลานกางเต้นท์ของอุทยานฯที่วังกวาง จะกว้างขวางมากครับ มีเต้นท์จัดสรรของอุทยานแห่งชาติที่เค้าจะกางไว้แล้วประมาณ 3 จุด ซึ่งค่าเช่าเต้นท์ 200 บาท มีให้เลือก 3 ขนาด (ควรทำการจองมาก่อนขึ้นภู) ค่าเช่าหมอน เช่าถุงนอน เช่าแผ่นรอง เช่าผ้าห่ม ก็จะอยู่ราวๆ 30-50 บาทต่อคืนครับ มาเช่าที่จุดทำการด้านบนได้เลย
ถ้าเอาเต้นท์มาเอง เลือกที่กางได้ตามสะดวก
ส่วนผมเองเอาเต้นท์ขึ้นมาเอง ก็สามารถเดินเลือกหาที่กางเต้นท์ได้ตามสะดวกเลยคร้าบ ของผมเปลี่ยนอยู่ 2 ที่เพราะไปเจอตัวดูด! หรือทาก ยั้วเยี้ยมาก.. ทำให้ต้องหาจุดกางเต้นท์ที่ไม่มีทากในบริเวณนั้น
ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงปลายฝนอยู่ ทำให้มีทากค่อนข้างเยอะ… หลานคนก็หนีทากโดยขึ้นไปกางเต้นท์กันที่ลานในร่มเอนกประสงค์กันครับ แต่ที่เล็งๆดูไม่มีที่ให้กางแล้ว จึงเดินไปซื้อปูนขาวที่ร้านขายของชำมาได้ราคาถุงละ 20 บาท เอามาโรยรอยๆเต้นท์เพื่อกันทากเข้าเต้นท์ได้ครับ
บริเวณลานกางเต้นท์ของอุทยานฯ |
ลูกหาบจะถึงช้ากว่าเราประมาณ 1-2 ชั่วโมงนะครับ เพราะเค้าไม่ได้เดินขึ้นมาพร้อมเรา และเค้าเดินช้ากว่าเรามากๆ จึงทำให้ผมต้องไปรอเต้นท์ส่วนตัวที่มาพร้อมลูกหาบตรงลานเอนกประสงค์ใกล้ๆ กับจุดที่ทำการอุทยาน เมื่อเห็นเป้เดินทางของเราแล้วก็ยื่นตั๋ว และจ่ายเงินสดได้เลย
ผมได้สัมภาระจากลูกหาบประมาณ 16.15 น. ซึ่งในนี้ก็จะมีเต้นท์และของอาบน้ำ ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จึงต้องรออย่างเดียว
เลือกจุดกางเต้นท์ใกล้ๆแหล่งของกิน |
ห้องน้ำบนภูกระดึง
ห้องน้ำบนภูกระดึงจะกระจายอยู่ตามรอบๆ ลานกางเต้นท์ครับ เป็นทั้งห้องน้ำและจุดอาบน้ำด้วย ที่อาบน้ำเป็นแบบฝักบัวซึ่งน้ำเย็นยะเยือก!
ถ้าหาจุดกาเต้นท์ที่ไกลห้องน้ำก็จะลำบากหน่อยเวลาโดนข้าศึกบุกครับ.. เดินไปบิดไปเผลอๆกลางทางแน่นอนเพราะมันไกลและกว้างนะ.. หรือห้องน้ำแบบเป็นตู้ๆก็จะมีบริเวณร้านอาหารเช่นกัน ซึ่งดีตรงที่มีน้ำให้ราดครับ
ห้องน้ำและจุดร้านอาหารบนภูกระดึง |
จุดหมายวันแรก ผาหมากดูก
ผมกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยประมาณ 5 โมงนิดๆ เลยคุยกันว่าจะเดินเท้าไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ผาหมากดูก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดกางเต้นท์ครับ แต่ปรากฎว่าเราเดินไม่ทันเห็นดวงอาทิตย์ตกดิน เพราะเดินถึงเวลา 6 โมง 10 นาที คือมันมึดเร็วมาก
อย่างที่บอกว่ากว่าจะกางเต้นท์เสร็จก็เย็นมากแล้วครับ อากาศด้านบนเริ่มเย็นสบายมากๆ ดูแผนที่จะต้องเดินไปก็คือเดินประมาณ 2.2 กิโลเมตรทีเดียว ก็เลยรีบออกมากันครับ บรรยากาศ 2 ข้างทางในช่วงพลบค่ำก็สวยงามมากๆ เดินไปถ่ายรูปไปเพลินสุดๆ
ทำให้นั่งพักที่ผาหมากดูกสักพักก็เลยตัดสินใจเดินกลับกันครับ จากผาหมากดูกเราเดินกลับอีก 1 ชั่วโมง ทำให้ถึงที่พักกันในเวลา 1 ทุ่มนิดๆคร้าบ.. ท้องเริ่มหิว อาบน้ำอาบหนาวๆ ที่ห้องอาบน้ำรวม และหาร้านกินข้าวเย็นที่มีให้เราเลือกเยอะพอสมควร
บรรยากาศยามเย็นบนภูกระดึง |
ร้านอาหารบนภูกระดึง
จุดบริการและร้านอาหารข้างบนภูกระดึงจะถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยมากๆครับ ก็ต้องบอกว่าข้างบนนี้มีครบครันทุกอย่างจริงๆ ส่วนราคาอาหารตามสั่งก็อยู่ราวๆ 50-60 บาทครับ แต่ที่จะแพงหน่อยก็จะเป็นน้ำดื่มขวดที่ขายขวดละ 50 บาท หมูกระทะ ชาบู ส้มตำไก่ย่าง ฯลฯ มีครบ!
ราคาที่ร้านอาหารบนภูกระดึง |
อากาศในช่วงตุลาคม
ในช่วงต้นเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ภูพึ่งเปิดให้นัดท่องเที่ยวได้ขึ้นไป ทำให้ช่วงนี้คนยังไม่ค่อยเยอะมากนัก เนื่องจากเป็นช่วงปลายฝน ที่ฝนอาจจะยังคงตกอยู่.. แต่อากาศข้างบนก็กำลังเย็นสบาย กลางวันก็ 25-30 องศา ส่วนกลางคืนอุณหภูมิอยู่ราวๆ 15-17 องศาเท่านั้นครับ
อากาศช่วงหน้าฝนจะเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป |
เช้าวันที่ 3 ทริปเดินป่าเที่ยวน้ำตกเที่ยวผา
ก่อนออกเดินทางเช้านี้ ผมหามื้อเช้าตุนพลังไว้เดินทางไกลกัน กาแฟสด กับโจ๊กหมูอร่อยๆ (50 บาท) พร้อมออกเดินเท้าตอน 9 โมงเช้าครับ โดยเส้นทางที่แพลนไว้วันนี้ จากศูนย์วังกวาง – น้ำตกวังกวาง – น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เดินลัดน้ำตกต่างๆ มาเรื่อยๆ – สระอโนดาต แล้วมาดูดวงอาทิตย์ตกดินที่ ผาหล่มสัก … ซึ่งเราไม่ต้องกลัวหลงทางเพราะมันมีป้ายบอกทางตลอด
เริ่มออกเดินเที่ยวในตอนเช้า |
จุดหมายแรก.. น้ำตกวังกวาง
จากศูนย์วังกวางเดินออกมาได้นิดเดียวก็มาถึงน้ำตกวังกวางแล้วครับ เป็นน้ำตกที่อยู่จุดกางเต้นท์มากที่สุด ทางสบายๆเดินชิวๆ ช่วงที่ผมไปน้ำเริ่มน้อยแล้ว มีน้ำไหลเอื่อยๆ ให้เดินลงไปถ่ายรูปสวยๆตรงโขนหินตรงกลางน้ำตกได้ น้องกวางที่ศูนย์ลงมากินน้ำที่น้ำตกแห่งนี้แหละ
น้ำตกวังกวาง – น้ำตกเพ็ญพบใหม่
จากน้ำตกวังกวางผมเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เพื่อไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่ครับ ระหว่างทางก็ขึ้นเนินลงเนินเบาๆไม่ได้เหนื่อยกันสักเท่าไหร่ ตามทางจะเป็นป่าโปร่งๆ มีทากบ้างประปรายตามทางแต่ไม่ดุร้าย.. เห็นแดดร้อนๆ แต่อากาศไม่ร้อนครับ เดินสบายๆ
น้ำตกเพ็ญพบใหม่ |
ใบเมเปิ้ลที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่
ช่วงที่ผมไปใบต้นเมเปิ้ลยังเป็นสีเขียวอยู่เลยคร้าบ ถ้าจะรอให้เป็นสีส้มสีแดงสวยเห็นว่าจะต้องเป็นช่วงธันวาคม.. ก็จะได้ฟิลโรแมนติกขึ้น น้ำจะแห้งๆ แต่ช่วงนี้น้ำมีไหลให้เห็นเป็นน้ำตกอยู่ ทำให้เราได้รูปสวยๆเป็นม่านใต้น้ำตกเพ็ญพบใหม่ที่อยู่ด้านหลังของน้ำตกคร้าบ สวยมากกกกก ไว้รอใบเมเปิ้ลสีแดงแล้วจะต้องมีอีก
เดินลัดตามเส้นทางน้ำตกจนถึงน้ำตกถ้ำใหญ่
เส้นทางจากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ไปยังน้ำตกถ้ำใหญ่จะเปลี่ยนอารมณ์ของการเดินเมื่อช่วงต้นทางแล้วครับ เดินทางลาดลงเรื่อยๆช่วงนี้ป่าก็จะชื้นขึ้นดิบขึ้น เป็นเส้นทางเล็กๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะสลับกับบันได เดินลงทางชันไปตามเส้นทางน้ำตกครับ..
ระหว่างทางเดินลัดเลาะน้ำตก |
หลังจากน้ำตกเพ็ญพบ (เพ็ญพบเฉยๆ) มายังน้ำตกถ้ำใหญ่ ก็จะต้องเริ่มเดินไต่ทางชันขึ้นแล้ว ในบางช่วงบางจังหว่ะก็ทำเอาเมื่อยอยู่พอสมควร พื้นดินช่วงนี้เป็นทรายบ้าง มีต้นไม้ดอกไม้ มีมอสสวยๆเกาะอยู่ตามขอนไม้บ้าง เห็ดหน้าตาแปลกๆบ้าง ลองสังเกตุตามพื้นดูนะคร้าบ
น้ำตกเพ็ญพบ ระยะทาง 3.3 กม. จากศูนย์วังกวาง
เราถึงตรงนี้ก็ประมาณช่วงเที่ยงๆ ครับ แนะนำให้นั่งพักทานข้าวห่อเติมพลังกันบริเวณนี้ อย่าลืมเก็บถุงขยะต่างๆ กลับมาให้เรียบร้อยด้วยนะครับ เพราะถ้าถุงหรือขยะไหลไปตามน้ำแล้วสัตว์ป่ากินเข้าไป.. จะเป็นอันตรายกับสัตว์ป่าครับ
นั่งพักเติมพลังบริเวณน้ำตก |
เห็นว่าช่วงใบเมเปิ้ลสีแดงสวย จุดน้ำตกถ้ำใหญ่ก็จะเป็นอีกจุดนึงที่ถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลได้สวยมากๆครับ ตลอดเส้นทางเดินจะเป็นธารน้ำเล็กๆ และก็จะมีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ ตอนที่มันเป็นสีเขียวเราอาจจะสังเกตุยากหน่อย แต่ถ้าแดงเมื่อไหร่ จะทำให้บริเวณนี้งดงามมากๆ
น้ำตกถ้ำใหญ่ เดินผ่านทุ่งหญ้าไปสระอโนดาต
เมื่อเราเดินขึ้นมาถึงเส้นทางไปสระอโนดาต เราก็จะได้สัมผัสป่าอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ “ป่าสนครับ” ฟิลล์การเดินป่าในช่วงนี้ก็จะเริ่มแปลกตาขึ้น ป่าโปร่งๆ โล่งๆ กับวิวต้นสนสูงไปจนถึงแนวทุ่งหญ้าสุดสายตา ที่ตามทางก็จะได้เห็นต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงขึ้นแซมตามทางเป็นจำนวนมาก
บริเวณน้ำตกถ้ำใหญ่ |
ถ้าใครเคยได้ยินข่าวไฟไหม้ป่าที่ภูกระดึง ก็จะมีอยู่ช่วงนึงที่เราจะเดินผ่านป่าสนน้อยๆเป็นจำนวนมาก ป่าสนบริเวณนี้เป็นสภาพป่าที่เคยถูกไฟไหม้มาก่อน
เป็นป่าใหม่ที่กำลังฟื้นตัวจึงเกิดเป็นต้นสนสวยๆเล็กๆกระจายอยู่ตามทางเป็นจำนวนมากครับ
สภาพภูมิประเทศแบบป่าสน |
สระอโนดาตบนภูกระดึง
จากน้ำตกถ้ำใหญ่จะต้องเดินอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เราจะเจอกับจุดหมายที่เป็น Landmark สำคัญอีกแห่งนึงบนภูกระดึงที่ใครก็ต้องการไปให้ถึงก็คือ “สระอโดดาต” นั่นเองครับ ที่นี่เป็นสระน้ำขนาดใหญ่บนภูกระดึงซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมากๆ ของบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เพราะจะมีน้ำขังอยู่ตลอดทั่งปีให้ดื่มกินครับ
จุดพักผ่อนบริเวณสระอโนดาตแห่งนี้เราสามารถนั่งพักเอาแรง เพราะค่อนข้างเหนื่อยและเมื่อยจากการเดินทางมาตลอดจากน้ำตกเพ็ญพบ น้ำใสสะอาดเย็นๆ สามารถใช้ล้างหน้าล้างตาเพื่อปลุกความสดชื่นและคลายร้อนได้
บริเวณสระอโนดาต |
สระอโนดาต เดินต่อไปถึงผาเหยียบเมฆ
เรานั่งพักกันได้ประมาณ 30 นาทีก็ต้องเดินเท้ากันต่อครับ เพราะว่ากลัวไม่ทันชมอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก จากตรงสระอโนดาตเราต้องเดินอีกตั้ง 5.5 กม. ไปยังผาเหยียบเมฆ แล้วเดินลัดหน้าผาต่างๆ ไปยังผาหล่มสักครับ
จริงๆ เราตั้งใจเดินมาทานข้าวเที่ยงกันตรงร้านอาหารตามสั่งที่ผาเหยียบเมฆ แต่ร้านอาหารเพิงตรงนี้มันปิด! ซวยแล้ว ทำให้ผมต้องแบกท้องหิวๆช่วงบ่ายโมงกว่าๆ เดินไปต่อยังผาหล่มสักครับ
ผาเหยียบเมฆ |
เดินจากผาเหยียบเมฆไปถึงผาหล่มสัก
อีก 4.3 กม. ระยะทางตรงนี้เดินไม่ยากแล้ว เพราะทางค่อนข้างสวยงามตลอดสองข้างทาง ตลอดเส้นทางก็จะเป็นป่าสนสวยๆ ที่วิวฝั่งซ้ายจะเป็นทิวเขาและหน้าผาสูงชัน เราก็จะได้แวะพักเหนื่อยและถ่ายรูปกับจุดผาชมวิวสวยๆกันหลายจุดเลยทีเดียวครับ
เส้นทางนี้ในหลายๆ ช่วงจะมีทางที่เป็นทรายบ้างตลอดระยะทางครับ ผมสงสัยเลยไปหาข้อมูลมาเสริมก็ได้ความว่า ภูกระดึงเป็นหินทรายยอดตัด จึงเกิดเป็นทรายที่เกิดจากการผุพังของหิน นั่นเองครับ
นอกจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าสนสวยๆแล้ว ก็ยังมีพันธุ์พืชนานๆ ชนิดให้เราได้เก็บเกี่ยวภาพถ่าย รวมถึงสัตว์ชนิดเล็กอย่างพวกตั๊กแตน ผีเสื้อสวยๆ ก็มีให้เห็นบ้างประปรายคร้าบ
เส้นทางจากผาเหยียบเมฆไปผาหล่มสัก |
ดูดวงอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก
ผมเดินถึงที่ผาหล่มสักในเวลาประมาณ 15.25 ครับ จะบอกว่าหิวมาก เพราะยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย ได้กินแต่ช็อกโกแลตและขนมรองท้องมาตลอดทาง แต่ที่นี่มีร้านอาหารร้านน้ำอยู่ 4-5 ร้านได้ ราคาข้าวต่อจานจะอยู่ราวๆ 60-70 บาทได้ครับ
แต่สิ่งที่ค่อนข้างแพงก็คือ น้ำ อย่างน้ำอัดลมขวดเล็ก ขวดละ 40 บาทคร้าบ เดินมาเพลียๆขนาดนี้ร่างกายต้องการน้ำหวานและความสดชื่นจากน้ำอัดลมที่สุด
ร้านอาหารบริเวณผาหล่มสัก |
จุดถ่ายรูปบังคับที่ผาหล่มสัก |
สรุปเดินจากศูนย์วังกวาง-ผาหล่มสัก
จากการเดินตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย 3 ครึ่ง 9.00 – 15.30! เราเดินไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตรครับ แต่ดีหน่อยที่อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่อ้าว ทำให้ผมได้เดินสัมผัสบรรยากาศป่าสนและทุ่งหญ้าสวยๆ ตลอดการเดินเท้าครับ
เมื่ออิ่มท้อง พักผ่อนไป 1 ตื่น ที่ร้านอาหาร ณ ผาหล่มสัก ก็ต้องไปจับจองที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกและถ่ายรูปสวยๆกันแล้วคร้าบ.. แต่สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะเมฆค่อนข้างหนา ทำให้เราไม่ได้บรรยากาศดวงอาทิตย์สีส้มสวยๆมาฝากกัน ก็เลยตัดสินใจเดินกลับตอนเวลา 17.20 ครับ
แต่สิ่งที่ผมอยากแชร์ประสบการณ์จุดนี้ก็คือว่า… มันมึดเร็วมากครับ ตลอดทางเดินกลับจากผาหล่มสัก – ศูนย์บริการวังกวางไม่มีไฟเลย และทางเดินก็จะมีน้ำถ่วมขังเป็นระยะๆ เป็นโคลนบ้างเป็นทรายบ้างเฉอะเฉะพอสมควร และอากาศก็หนาวเย็นลงเฉียบพลันครับ อาจจะต้องระวังทากกันสักนิดนึง
เดินกลับศูนย์วังกวางจากผาหล่มสัก |
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงจุดกางเต้นท์ตอนเวลา 2 ทุ่มนิดๆ ซึ่งจะใช้เวลาเดินกลับประมาณ 3 ชั่วโมงครับ ทางนี้จะใกล้กว่าตอนขามา เพราะไม่ได้เดินอ้อม และต้องเดินกลับมาอีกทางหนึ่งจนมาถึงผาหมากดูก.. ผาเดียวกับวันแรกที่ผมเดินครับ
"การเดินเท้าทั้งวี่ทั่งวันบนภูกระดึง ส่งผลให้เท้าพองอย่างที่เห็น ! สรุปว่ากลับมาถึงก็หิวโซ อากาศก็เย็น รีบล้างเนื้อล้างตัวเข้านอนอย่างรวดเร็วครับ"
ตอน 4 ทุ่ม ก็จะมีเสียงประกาศตามสายของเจ้าหน้าที่ถึงระเบียบการพักที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตอนแรกก็แอบงงๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมาก (เห็นว่าช่วงมากสุดถึงประมาณ 5,000 กว่าคน) ทำให้ต้องมีการจัดการดูแล และมีกฎการอยู่ที่พักอย่างรัดกลุ่ม
ตื่นเช้าตอนตี 5 ครึ่งของวันที่ 3
อากาศเย็นและชื้นทำให้เต้นท์ของผมเต็มไปด้วยน้ำค้างและเปียกมาก ถึงฝนไม่ได้ตก แต่สภาพเต้นท์และพื้นหญ้าเหมือนฝนตกเลยครับ สิ่งที่ชอบก็คือ อากาศที่ตื่นมาแล้วสดชื่นมากๆ ไม่มีมลพิษและ PM2.5 ทำให้ผมสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดจริงๆ
เช้าวันที่ 3 บนภูกระดึง |
ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวเก็บเต้นท์ให้เสร็จก่อนที่อากาศจะร้อนครับ ที่ต้องใช้เวลาสักพักก็คือผมต้องผึ่งเต้นท์ให้แห้งก่อนเก็บลงกระเป๋า เพราะไม่อย่างนั้น น้ำหนักของเต้นท์ที่ผมจะต้องแบงลงภูก็จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ขาลงภูกระดึง.. ฝนตก ทางลื่นมาก
ผมเก็บของเสร็จและเดินออกจากจุดกางเต้นท์วังกวางประมาณ 9.15 ครับ ตอนนี้แดดเริ่มออก อากาศเริ่มร้อนแล้ว.. แต่ขณะเดินลงภูกระดึงนั้นกลับมีเมฆหนาเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝนเริ่มตกในช่วงกลางทางขาลง
ทำให้การเดินลงภูของวันนี้ค่อนข้างทุลักทุเลและต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะทางลงจะลื่นและเฉอะเฉะมากๆ ครับ และขาลงผมไม่ได้ใช้บริการลูกหาบ จึงต้องแบกสัมภาระกว่า 13 กก.พร้อมขยะ ลงมาจากบนภูกระดึงด้วยครับ
ในที่สุดผมก็เดินลงถึงจุดบริการที่ด้านล่างในเวลา 14.15 ซึ่งก็ใช้เวลาเดินลงเร็วกว่าตอนเดินขึ้นเล็กน้อยเพราะฝนตกด้วย สรุปจากจุดกางเต้นท์ด้านบน ผมใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินลงมาถึงศูนย์บริการด้านล่างคร้าบ
ขาลงภูฝนตก ทางลื่นมาก |
ห้องอาบน้ำที่ทำการฯ
ที่ศูนย์บริการด้านล่างจะมีห้องอาบน้ำให้เราได้ล้างเนื้อล้างตัวก่อนเดินทางกลับครับ.. ให้เราเดินเลยมาตรงบริเวณลานจอดรถที่อยู่ด้านในเล็กน้อยครับ.. สรุปผมได้ออกจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึงในเวลา 15.00 เดินทางกลับกรุงเทพในวันนั้นกันเลยคร้าบ
จุดอาบน้ำที่ทำการอุทยานฯ |
จากอุปกรณ์ตรวจจับการเดิน ได้ข้อมูลการเดินทั้งหมดมาถึง 22 กิโลเมตร 38,000 ก้าว ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะเป็นค่าเดินทาง (ค่าน้ำมัน) ค่าทางด่วน ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายจิปาถะในการเข้าอุทยานฯ และค่ากินที่ด้านบนจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าปกติครับ แต่ก็ถือว่าสะดวกสบายไม่ลำบากเลย
รีวิวภูกระดึงหน้าฝนสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์ กางเต้นท์เอง |
ใดๆก็คือ การเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะตลอดทางเดินขึ้น-ลง มีร้านอาหารร้านน้ำตลอดทาง และด้านบนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ ทั้งร้านอาหาร น้ำดื่ม ห้องน้ำ บ้านพัก และการเดินก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ แต่ก็ได้สัมผัสถึงธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา.. สิ่งนี้เองที่อาจทำให้ภูกระดึงเป็นจุดหมายปลายทางอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยม และมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพิสูจน์ความอดทนเป็นจำนวนมากครับ
"ขอให้เพื่อนๆทุกคนเดินเที่ยวภูกระดึงอย่างมีความสุข และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมสัตว์ป่ากันด้วยนะครับ"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น