เรียงความวันแม่ของ ด.ช.พีชะ กับชื่อสุดแปลกที่แม่ตั้งทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น
คนไม่มีแม่ ไม่ได้ร้องไห้เฉพาะวันแม่นะครับ สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องเดียวที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี ยี่สิบปี หรือ เกือบจะสามสิบปีแล้วเหมือนผม ทุกความทรงจำที่นึกเค้า ผมร้องสะอื้นเหมือนฟ้ารั่ว… ทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลวันแม่ วันที่ลูกๆทุกคนระลึกถึงพระคุณของแม่
ผมคนนึงที่ช่วงเทศกาลวันแม่ทีไร ไม่ค่อยอยากจะเปิดโทรทัศน์ ไม่อยากจะออกนอกบ้าน และช่วงหลายปีมานี้ นี้ก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าเฟสบุ๊ค เพราะผมไม่เคยเข้มแข็งพอ ที่จะทนเห็นภาพที่ทำให้ผมสะเทือนสุดหัวใจได้ โดยเฉพาะวันนี้… วันที่ 12 สิงหาคม
เรียงความวันแม่ของ ด.ช.พีชะ กับชื่อสุดแปลกที่แม่ตั้งทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น |
เทศกาลวันแม่
ใช่ครับ.. ผมแอบอิจฉาคนที่ได้อยู่กับคุณแม่มากๆ เพราะผมอยากดูแลเค้า อยากกอดเค้า อยากจับมือเค้า อยากพาเค้าไปเที่ยว อยากบอกเค้าว่าวันนี้เราทำดีอะไรมาบ้าง อยากบอกเค้าว่าเราปีนี้เงินเดือนขึ้นแล้วนะ อยากบอกเค้าว่าผมรักเค้าแค่ไหน… และผมก็อยากบอกเค้าว่า “ตั๊บไม่แต่งงานนะ ไม่ต้องเก็บเงินค่าสินสอด เราไปเที่ยวกันเถอะ” (ประโยคนี้ผมหัวเราะแล้วนะ ฮ่าๆ)
และวันแม่ครั้งนี้ ผมขอเขียนเรียงความเรื่องแม่ของผม ทั้งๆที่การเขียนครั้งนี้ “มันจะทำให้ผมยิ่งคิดถึงเค้า” มากกว่าความอิจฉาที่จะได้เห็นตามห้าง หรือรูปบนเฟสบุ๊คซะอีก (สะอื้นอีกแล้ว)
ชื่อจริงผม “พีชะ” ชื่อที่ครูสอนภาษาไทยเป็นคนตั้ง
คุณแม่ผมไม่ใช่ครูภาษาไทยธรรมดานะครับ “อ.สายชล” ไปเรียนไกลบ้านถึงปัตตานี จนจบครุศาสตร์จาก ม.สงขลานครินทร์ “เป็นคุณครูภาษาไทยดีเด่นของคุรุสภา” ตอนนั้นผมจำความอะไรยังไม่ได้เท่าไหร่นัก เพราะมันค่อนข้างจะเลือนลางมาก แต่ผมยังมีรูปเค้าใส่ชุดข้าราชการครูสีกากี ครั้งที่ได้รับโล่ห์เกียรติคุณครูภาษาไทยดีเด่นอันนี้มาแขวนไว้ที่ผนังบ้านคุณยาย
“พี่อ้อย” เป็นชื่อที่ใครๆ ในโรงเรียนมักเรียกคุณแม่ผม ที่จำความได้ที่สุด คือ ผมได้เห็นมิตรภาพดีๆ ระหว่างคุณแม่กับเพื่อนครูเสมอๆ แม่ผมเป็นคุณครูที่น่ารักและเป็นที่รักของเพื่อนๆ ครูทุกคน ผมโตมาในบ้านพักครูด้านหลังของโรงเรียน มีบ้านพักครูอยู่ราวๆสิบกว่าหลังเห็นจะได้ (โรงเรียนมวกเหล็กวิทยาคม จ.สระบุรี) สมัยนั้นอากาศดีมาก ยังจำได้ว่าเคยเห็นลูกเห็บตกราวกับพายุฝนอยู่สองถึงสามครั้ง
แม่ผมยังเป็นคุณครูแลกเปลี่ยนภาษาถึงแคนนาดา–อเมริกาด้วยนะ จากบ้านไปไกลหลายปีมาก “ตอนนั้นเค้าต้องคิดถึงผมมากแน่ๆ และเค้าต้องเข้มแข็งมากๆที่ต้องไปอยู่คนเดียว” นี่แหละครูสอนภาษาไทยดีเด่นที่ภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ ช่วงที่คุณแม่ไม่อยู่ ผมก็ได้น้าสาวและคุณยายนี้แหละที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ ความเป็นคนหัวโบราณจากยายนี่แหละ อยู่ที่ผมเต็มๆเลย
(อ๋อ.. สมัยเรียนมหาลัย วิชาภาษาไทยผมได้ A มาด้วยนะ รู้สึกจะเป็นวิชาเดียวที่ผมตั้งใจเอา A มาให้ได้ ให้สมกับที่มีคุณแม่เป็นครูสอนภาษาไทยซะหน่อย นี่แหละลูกครูภาษาไทยตัวจริง)
ชื่อแปลกไม่เหมือนใคร ที่คุณแม่ตั้ง
ผมไม่มีโอกาสได้ถามเค้าเลยว่า.. ทำไมถึงตั้งชื่อ “พีชะ” ก็ได้แต่ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ที่ได้ชื่อนี้มาเพราะแม่ผมคลอดผมตรงกับวัน “พืชมงคล” ในปีนั้น อาจจะแผลงมาจาก “พืช” หรือ อาจจะมาจาก “พีชคณิต” ถามคุณยาย ถามน้าๆ ก็ได้คำตอบที่ไม่มีใครฟันธงได้เลยสักคน ถ้าดันเป็นคำหลังนี่แม่ผมจะต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะผมเป็นคนโง่เลขมากครับ…
ผมเคยเปลี่ยนชื่อครั้งนึงสมัยมหาลัยฯ แบบว่า โอ๊ย ชื่ออะไร คนเรียกผิดทุกคน แถมพยัญชนะก็ยังไม่ถูกโฉลกกับวันเกิดอีก แต่เชื่อไหมว่า… ไม่กี่ปีให้หลังจนผมเริ่มรู้สึกว่า “ตัวเองเชื่ออะไรไม่รู้บ้าบอ” ทำไมไม่เชื่อคุณแม่ที่โคตรเก่งถึงคุณครูภาษาไทยดีเด่น ชื่อที่คุณแม่ตั้งให้นี่แหละ เป็นมงคลที่สุดแล้ว
ก็เลยเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อ “พีชะ” ชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ ถึงทุกวันนี้ครับ
ฮันท์, นัท, ไอซ์, ไบค์ คือชื่อเล่นผมทั้ง 4 ชื่อ
ชื่อจริงว่าแปลกแล้ว ชื่อเล่นแปลกกว่า “ตุ๊บตั๊บ” ชื่อเล่นจริงๆ ที่คุณแม่ตั้ง ไม่เคยถามด้วยว่ามาจากไหน.. ตอนเริ่มโตเป็นวัยรุ่นรู้สึกอายชื่อนี้มากไม่รู้ทำไม.. มันไม่คูล มันไม่เท่ มันไม่เป็นสากลเหมือนชื่อเพื่อนๆนะ “พีชะ” ก็เลยกลายเป็นชื่อเล่นที่เพื่อนประถม-มัธยมใช้เรียกผมกัน.. พอเข้ามหาลัย–ทำงาน ผมมีชื่อเล่นเยอะพอสมควรตามแต่ละกลุ่มแต่ละวงการ เพราะผมจะมีชื่อเล่นที่ไม่เหมือนกันเลยสักกลุ่มนึง... นี่เป็นไงละ ตั้งชื่อเล่นเอง
ตอนแรกๆก็แยกเรียกกันปกติสุขดี เพราะไม่มีใครรู้จักกันข้ามกลุ่ม จน Social Media และความสัมพันธ์ระดังโยงใยเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ปัญหาความสับสนจากการเรียกขานก็เกิดขึ้นจนได้ “เมื่อคนนี้ก็งง ว่าทำไมคนนั้น เรียกผมชื่อนี้” ผ่างงงงงง ความลับรั่วไหล ความสงสัยหลายคนเริ่มถาม… คงมีผมคนเดียวที่ไม่งง เพราะผมเป็นคนตั้งชื่อทั้งหมดเอง
พอเริ่มชักจะไม่ไหว… เข้าสังคมที่ทำงานใหม่ ก็เลยให้ใช้ชื่อเล่น original ซะเลย ถือเป็น “การกลับมาใช้ชื่อเล่น” ที่คุณแม่เป็นคนตั้งให้dHตอนนี้ที่ทำงานปัจจุบันนี่แหละ เรียกผมเหมือนที่คุณแม่เรียกแล้วครับ คูลลลจะตาย
คุณยาย เม้าท์เรื่องคุณแม่
“แม่เอ็งอะ เที่ยวเก่ง ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวเหมือนเอ็ง”
“อ้อยมันน่าสงสาร ต้องนั้งรถไฟไปเรียนไกลๆถึงปัตตานี ”
“แม่เอ็งอะ เป็นคนอ้อยอิ่ง ตื่นเช้ามาชอบนั่งจิบกาแฟ สบายใจเฉิบ”
“อ้อยมันขยัน เรียนเก่งมาก ตื่นมาจุดเทียน อ่านหนังสือตอนดึกๆทุกวัน ”
ช่วงนี้ถาม. “ใครว่ะอ้อย” ตึ้งงงงง !!
ผมต้องทวนความจำให้คุณยายเป็นการใหญ่ แต่ผมไม่แปลกเพราะปีนี้คุณยายผมเข้า 93 ขวบแล้วครับ…. แต่พูดถึงคุณแม่ทีไร น้ำตาแกคลอเบ้าทุกครั้ง (รวมถึงผมด้วยละ)
*อัพเดท. วันแม่ปี 2020 ถึงคุณยายจะไม่อยู่ให้ผมกลับไปไหว้แทนแม่แล้ว แต่ผมก็ยังคิดถึงคุณยายเสมอนะครับ
ทุกครั้งที่แม่กับพ่อผม เค้าจะมีปากเสียงกัน “ผมไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยิน” คำหยาบคาย คำด่าทอ จากปากคุณแม่เลยแม้แต่คำเดียว เพราะเค้าจะพาผมไปหลบไว้สักที่ก่อนที่เค้าจะมีปากเสียงกัน หรือให้น้าผมพาผมออกไปจากตรงนั้น นี่แหละมั้งที่เป็นจุดที่ทำให้ผมค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องของความรู้สึก…
แต่ “ครูอ้อย ถึงจะใจดีมากก็จริง แต่ก็ดุมากเช่นกัน” แต่ถ้ากดเสียงต่ำพร้อมหน้าตาที่ดูจริงจังเมื่อไหร่ กลัวกันทุกคน.. ผมด้วยเช่นกันครับ แม่ผมไม่เคยใช้ไม่เรียว ไม่เคยใช้เข็มขัดฟาด ไม่เคยทำโทษลูก เหมือนครูทำโทษนักเรียน แต่จะสอนให้ทำ ชี้ให้เห็น….
ถ้าแกเรียกครั้งแรก “ลูก” ด้วยน้ำเสียงนางฟ้า แล้วผมไม่หือไม่อือ… เสียงครั้งที่สาม จะมี “ไอ้” นำหน้าเป็น “ไอ้ตั๊บ” ด้วยโทนเสียงกดต่ำเย็นยะเยือกน่ากลัวนั่นแหละ! ผมจะต้องรีบวิ่งมาอย่างด่วนจี๋
สำหรับใครที่ไม่คุณแม่เหมือนผม ผมขอเป็นกำลังใจให้นะครับ หรือใครก็ตามที่ยังไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้าคุณแม่ ให้รู้ไว้ว่า.. “อย่างน้อยก็มีอีก 1 คนที่เข้าใจความรู้สึกคุณนะครับ” ผมถือว่ายังโชคดีมาก ที่ยังมีคุณยายและน้าๆคอยอบรม ให้ความรักและปลูกฝังผมแทนคุณแม่ที่ไปจากผมอย่างไม่มีวันกลับมา…
สุดท้ายดีสำหรับใครก็ตามที่ยังมีคุณแม่อยู่ ดูแลและรักเค้ามากๆนะครับ เพราะคนไม่มีแม่… ไม่ได้ร้องไห้เฉพาะวันแม่ แต่จะร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงความทรงจำที่มีกับแม่ตลอดไป สุขสันต์วันแม่นะครับ
ด้วยรักและคิดถึงคุณแม่อ้อย ตลอดไป "ตุ๊บตั๊บ"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น